rungraveewan


ตอบ (ก) URL ย่อมาจาก Uniform Resource Locators คือการระบุถึงแหล่งข้อมูลที่ต้องการขอบริการ เรามักได้ยินว่าการใช้งานอินเตอร์เน็ตต่าง ๆ จะสามารถใช้งานได้ภายใต้พื้นฐาน ของระบบเว็บหรือที่นิยมเรียกว่า "Web-based" ทั้งนี้ เพราะบราวเซอร์ โปรแกรม อาศัยหลักการของ URL ในการ สร้างความหลากหลายของการใช้งานหรือขอบริการ ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่ง URL ก็คือการระบุถึงแหล่งข้อมูลที่ต้องการขอบริการ โดยมีโครงสร้างคร่าว ๆ ดังนี้

รูปที่ 1 URL (Uniform Resource Locators)

และจากโครงสร้างของ URL ดังกล่าวทำให้เราสามารถติดต่อตามไซด์ต่าง ๆ โดยระบุถึงที่อยู่หรือ Location Address และกำหนดถึงพาท (Path) ที่อยู่ของข้อมูลที่ต้องการได้ และยังสามารถใช้บริการอื่น ๆ นอกเหนือจาก HTTP สำหรับระบบเว็บ ตัวอย่างการกำหนด URL ขอใช้บริการอื่น ๆ นอกเหนือจาก HTTP

FTP (File Transfer Protocol)

ftp://chaokhun.kmitl.ac.th/pub

E-Mail

mailto: s8626072 @kmitl.ac.th


(ข) Domain Name System (DNS)

การติดต่อกันในอินเตอร์เน็ตซึ่งใช้โปรโตคอล TCP/IP คุยกัน โดยจะต้องมีหมายเลข IP ในการอ้างอิงเสมอ แต่หมายเลข IP นี้ถึงแม้จะจัดแบ่งเป็นส่วน ๆ แล้วก็ยังมีอุปสรรคในการที่ต้องจดจำ ถ้าเครื่องที่อยู่ในเครือข่ายมีจำนวนมากขึ้น การจดจำหมายเลข IP ดูจะเป็นเรื่องยากและอาจสับสนจำผิดได้ แนวทางแก้ปัญหาคือการตั้งชื่อหรือตัวอักษรขึ้นมาแทนที่หมายเลข IP น่าจะสะดวกในการจดจำมากกว่า เช่น หมายเลข IP 8nv 192.10.100.21 แทนที่ด้วยชื่อ cybertown.th.com ผู้ใช้บริการสามารถจดจำชื่อ cybertown.th.com ได้แม่นยำกว่า นอกจากนี้ในกรณีเครื่องเสียหรือต้องการเปลี่ยนแปลงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการ จากเครื่องที่มีหมายเลข IP 192.10.100.21 เป็น 192.10.100.30 ผู้ดูแลระบบจะจัดการแก้ไขฐานข้อมูลให้เครื่องใหม่มีชื่อแทนที่เครื่องเดิมได้ทันทีโดยไม่ต้องโยกย้ายฮาร์ดแวร์แต่อย่างใด ส่วนในมุมมองของผู้ใช้ก็ไม่ต้องแก้ไขอะไรทั้งสิ้น ยังคงสามารถใช้งานได้เหมือนเดิม

สำหรับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ได้มีการพัฒนากลไกการแทนที่ชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการกับหมายเลข IP หรือ name-to-IP address ขึ้นมาใช้งานและเรียกกลไกนี้ว่า Domain Name System (DNS) โดยมีการจัดเก็บฐานข้อมูลชื่อและหมายเลข IP เป็นลำดับชั้น (hierachical structure) อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทำหน้าที่พิเศษ ที่เรียกว่า Domain name server หรือ name Server โครงสร้าง ของฐานข้อมูล Domain Name นี้ ในระดับบนสุดจะมีความหมายบอกถึงประเภทขององค์กร หรือชื่อประเทศที่เครือข่ายตั้งอยู่ ตัวอย่างชื่อ Domain ระดับบนสุดเป็นดังตารางต่อไปนี้
Domain ความหมาย
Apra เป็นเครือข่ายในโครงการ Advanced Research Project Agencies
Com เป็นเครือข่ายขององค์กรเอกชน
Gov เป็นเครือข่ายของหน่วยงานภาครัฐบาล
Edu เป็นเครือข่ายของหน่วยงานการศึกษาหรือมหาวิทยาลัย
Mil เป็นเครือข่ายของหน่วยงานทหาร
Net เป็น network operator หรือบริษัท provider ต่าง ๆ
Org เป็นเครือข่ายขององค์กรที่ไม่หวังผลกำไร
ชื่อย่อประเทศต่างๆ ประเทศที่ตั้งของเครือข่ายนั้นในอินเตอร์เน็ต เช่น th หมายถึงเครือข่ายที่อยู่ในประเทศไทย

(ค) HTML World Wide Web อาจจะมองได้ว่าเป็นการรวบรวมเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวโยงกันไว้ด้วยกันเอกสารที่เกี่ยวโยงกันเราจะเรียกว่า "เว็บเพจ" (Web Page) ซึ่งสิ่งที่ทำให้เว็บเพจมีความสามารถเชื่อมโยงกันได้ก็คือภาษาที่ใช้ นั่นคือ HTML หรือ HyperText Markup Language เป็นภาษาที่คิดค้นขึ้นมาโดยนักวิจัยของห้องทดลองฟิสิกส์ CERN ในสวิตเซอร์แลนด์ HTML ถือได้ว่าเป็นภาษาที่ทำให้มีการเชื่อมโยงกันของข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่ใช่ภาษาสำหรับการเขียนโปรแกรม แต่มีความสามารถในการโปรแกรมได้บ้างเล็กน้อย

โครงสร้างของเอกสาร HTML

เอกสาร HTML สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน

  • Header หรือส่วนหัวของเอกสาร เป็นส่วนที่ใช้บอกข้อมูลสรุป หรือภาพรวมของเอกสาร ซึ่งต่อมามักใช้ในการเพิ่มความสามารถในการโปรแกรม ทำให้เอกสาร HTML มีความน่าสนใจ และน่าใช้งานยิ่งขึ้น
  • Body หรือส่วนเนื้อหาของเอกสาร เป็นส่วนที่ใช้เก็บเนื้อหาของเอกสารทั้งหมด เราสามารถใส่เนื้อหาทั้งที่เป็นข้อความ, ภาพ หรือแม้กระทั่งเสียงเข้าไปในเอกสาร HTML รวมทั้งยังสามารถเพิ่มความสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งาน

    การสร้างเอกสาร HTML

    เอกสาร HTML สามารถสร้างได้ด้วยโปรแกรมจำพวก Editor เช่น Notepad หรือในโปรแกรมเวิร์ดโพรเซสเซอร์ เช่น Microsoft Word หรือในโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างเอกสาร HTML โดยเฉพาะ เช่น FrontPage หรือ Net Composer ซึ่งสร้างเอกสารได้รวดเร็วและมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกมากมาย ซึ่งเราจะมองเห็นเว็บเพจที่กำลังสร้างเหมือนกับตอนใช้งานจริง

    (ง) HTTP (HyperText Transfer Protocol)

    เครือข่ายเวิร์ลไวด์เว็บ จะเชื่อมโยงกัน โดยใช้ HTTP โพรโตคอล ซึ่ง HTTP โพรโตคอลนี้ เป็นโพรโตคอลเกี่ยวกับการจัดการเครือข่าย ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร และรับส่งข้อมูล ภายใต้ระบบเว็บซึ่งคือ ไฮเปอร์เท็ก หรือ เว็บเพจ นั่นเอง โดยรูปแบบจะเป็นแบบ "Connection Oriented" และการทำงานพื้นฐานจะมีรูปแบบเป็นลักษณะแบบ "Transaction Oriented" คือ จะอาศัยหลักการง่าย ๆ ของ ไคลเอ็นต์-เซิร์ฟเวอร์ (Client-Server) ในการร้องขอบริการ ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของ โฮมเพจที่ร้องขอบริการ เช่น ภาพ, เสียง หรืออื่น ๆ จะมีการเปิดการติดต่อใหม่ เป็นอิสระแก่กัน ซึ่งจะขออธิบายจากตัวอย่างภาพต่อไปนี้ เพื่อให้ง่ายในการทำความเข้าใจ

    รูปที่ 1 แสดงการเปิดการติดต่อย่อยในการ้องขอโฮมเพจ

    จากภาพ เป็นการแสดงถึง โฮมเพจ ที่มีการติดต่อขอข้อมูลจากไซต์อื่น ๆ 3 ไซต์ โดยที่ ไคลเอ็นต์ (หรือบราวเซอร์) ทำการร้องขอ (Request) ข้อมูลจากไซต์ที่แตกต่างกัน 3 ไซต์ ซึ่งตัวข้อมูล ที่ ไคลเอ็นต์ (บราวเซอร์) ร้องขอข้อมูลในแต่ละไซต์และแต่ละงานนั้นจะมีอิสระแก่กัน เช่น การร้องขอจากไซต์ 1 ไคลเอ็นต์ เปิดการติดต่อกับไซต์ที่ 1 (ติดต่อผ่านเว็บเซิร์ฟเวอร์) เพื่อทำการร้องขอข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งเซิร์ฟเวอร์มี เว็บเซิร์ฟเวอร์ HTTPE (Daemon โปรแกรม) คอยให้บริการที่พอร์ท 80 แล้วเซิร์ฟเวอร์ ก็จะส่งข้อมูลกลับ (Reply) ตามที่ไคลเอ็นต์ขอมาหลังจากนั้นจึงปิดการติดต่อ

    การร้องขอบริการจาก ไซต์ 2 ไคลเอ็นต์ ทำการร้องขอไปยังไซต์ 2 แต่ว่า ไซต์ 2 ปิดการให้บริการอยู่ จึงไม่สามารถติดต่อได้ หลังจากนั้นจึงปิดการติดต่อ

    การร้องขอบริการจาก ไซต์ 3 ไคลเอ็นต์ ทำการร้องขอไปยัง ไซต์ 3 (ซึ่งมีการทำงาน เหมือนกับไซต์ 1 แต่แตกต่างกันตรงตัวข้อมูลที่ส่งกลับ) ไซต์ 3 สามารถให้บริการได้ เซิร์ฟเวอร์ก็จะส่งข้อมูลกลับมายังไคลเอ็นต์ ตามที่ไคลเอ็นต์ได้ร้องขอ

    สรุป จากการร้องขอข้อมูลของไคลเอ็นต์ ไปยังไซต์ 1,2 และ 3 จะเห็นว่าข้อมูลที่ส่งกลับมา จากแต่ละไซต์ ไม่ขึ้นแก่กัน ทั้ง 3 ไซต์ ไซต์ 1 และ 3 เว็บเซิร์ฟเวอร์มีการส่งข้อมูลกลับมายังไคลเอ็นต์ได้ แต่ไซต์ 2 ไม่มีข้อมูลกลับมา ซึ่งหลักการที่สำคัญในการทำงานเป็นเรื่องของ การร้องขอของ ไคลเอ็นต์ และการตอบกลับของเซิร์ฟเวอร์ นั้น ใช้หลักการของ ไคลเอ็นต์/เซิร์ฟเวอร์ทั้งนี้เพราะ HTTP ก็เป็นโพรโตคอบ ที่ทำงานแบบ ไคลเอ็นต์/เซิร์ฟเวอร์ และด้วยเทคนิคกับวิธีที่กล่าวข้างต้นจะเห็นว่ามีข้อดีคือ ทำให้งานแต่ละชิ้นเป็นอิสระต่อกันดังนั้น หากมีส่วนใดเสียหรือมีปัญหาในการติดต่อสื่อสารไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามจะไม่กระทบแก่กัน หลักการทำงานของไคลเอ็นต์/เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งการทำงานมีสามส่วนหลัก ๆ คือ

    1. ไคลเอ็นต์ (Client) เป็นผู้ขอใช้บริการ

    2. ระบบเครือข่าย (Network)

    3. เซิร์ฟเวอร์ (Server) เป็นผู้ให้บริการแก่ไคลเอ็นต์

    โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้คือ

    1. การสร้างการติดต่อระหว่าง ไคลเอ็นต์ และเซิร์ฟเวอร์ (Establish Connection)

    2. การร้องขอบริการ (Request) คือ ไคลเอ็นต์ ร้องขอบริการไปยังเซิร์ฟเวอร์

    3. การตอบกลับหรือการให้บริการ (Reply) คือ การที่เซิร์ฟเวอร์ ให้บริการแล้วแต่ชนิดการร้องขอบริการของ ไคลเอ็นต์

    4. การปิดการติดต่อ (Terminate) คือ การยกเลิกการทำงานกรณีที่การร้องขอ บริการ และการให้บริการเสร็จสิ้นสมบูรณ์

    ในหัวข้อ 2 และ 3 บางครั้งจะมองรวมเป็นส่วนเดียวกันได้ คือการโต้ตอบ หรือ การรับ-ส่งข้อมูลหรือ การทำอินเตอร์แอกชัน (Interaction)

    (ช) Home Page

    ถ้าแปลตรงตัวคือ หน้าบ้านแต่มีความหมายในเชิงเป็นข้อความต้อนรับของเจ้าของบ้าน Home Page นั้นนิยมทำเป็นข้อความแบบหลายมิติ (Hy Pertext) ผู้ใช้ที่อ่านข้อความแบบนี้อาจค้นหาเรื่องราวที่ตนสนใจต่อเนื่องไปได้โดยการเลือกคำที่ดีอยู่ในข้อความนั้นเป็นกุญแจไขเข้าไปสู่เรื่องอื่น ๆ

    ในการจัดตั้ง Web site ขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับเก็บรวบรวมข้อมูลหรือประชาสัมพันธ์กิจกรรม ต่าง ๆ ของเจ้าของ site นั้นเพื่อให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตอื่น ๆ ได้เข้ามาดู โดยแสดงข้อมูลนั้นในรูปของ web page หรือ home page

    คำว่า web site ก็คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ระบบหนึ่งที่อาจจะใช้ระบบปฏิบัติการ Unix หรือ Windows NT ก็ได้ และมีโปรแกรมจัดการทำให้เครื่องดังกล่าวทำหน้าที่เป็น web server คอยบริการให้ ข้อมูลกับผู้ที่ติดต่อขอข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตเข้ามา ที่เครื่องที่เป็น web server นี้จะมีข้อมูลที่เป็น web page ต่าง ๆ ที่เจ้าของระบบได้จัดเตรียมไว้ และแน่นอนว่าเครื่องนั้นจะต้องเชื่อมต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตตลอดเวลา ทีนี้คำว่า web page หรือข้อมูลใน web server นั้นเป็นอย่างไร ขอให้เราลองนึกภาพดูง่าย ๆ ว่า web page นั้นก็คือข้อมูลเอกสารแบบหนึ่งที่เก็บอยู่ที่ฮาร์ดดิสก์ เหมือนกับเครื่องพีซีของเราที่เก็บข้อมูลอยู่ที่ไดรว์ C: หรือฮาร์ดดีสก์ แต่ข้อมูลที่เก็บนี้เป็นข้อมูลที่ตั้งใจจะให้ผู้ใช้คนอื่น ๆ สามารถเข้ามาอ่านดูได้พร้อม ๆ กันหลาย ๆ คนซึ่งการเข้ามาอ่านข้อมูลดูก็ต้องอาศัยโปรแกรมที่เรียกว่า web browser ประมาณกันว่าในเวลานี้ มีผู้ที่เรียกใช้บริการ World Wide Web นับสิบล้านคนเลยทีเดียว ดังนั้น เครื่องที่ให้บริการเป็น Web server จึงจำเป็นต้องใช้ระบบปฏิบัติการ Unix หรือ Windows NT เพื่อสามารถรองรับให้บริการกับผู้ใช้ได้หลาย ๆ คนพร้อมกัน

    ก่อนที่จะเริ่มต้นจัดทำ web page หรือ Home page เพื่อให้บริการข้อมูลนี้ ผู้จัดทำจะต้องเตรียมรายละเอียดต่าง ๆ ก่อน คือ

  • เตรียมเชื่อมต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตแบบถาวรตลอดเวลา และขอ Internet address เพื่อใช้อ้างอิงตำแหน่ง Web ของตน
  • เตรียมคำนวณหาขนาดพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์สำหรับเก็บข้อมูล เพราะถ้าไม่ได้จัดตั้งเครื่องเป็น web server เองก็อาจจะขอเช่าใช้ของผู้อื่นได้ โดยเช่าพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ในการเก็บข้อมูล web page ที่ต้องการ
  • ถ้าจัดตั้ง web server เองก็ต้องหาโปรแกรมจัดการ web server ซึ่งอาจจะเป็นระบบปฏิบัติการ Unix หรือ Windows NT และโปรแกรมบริหาร web ซึ่งมีหลายตัวแล้วแต่จะเลือกใช้
  • ตัวข้อมูลที่จะทำการประชาสัมพันธ์ ในบางครั้งก็เรียกว่า "คอนเทนต์" (Content) ซึ่งอาจจะมีข้อมูลในรูปแบบของตัวอักษรข้อความ, รูปภาพ, กราฟิก, เสียง, ภาพเคลื่อนไหว แล้วในการประกอบข้อมูลต่างๆ หลายรูปแบบให้เป็น web page นี้จะต้องศึกษาการเขียนโปรแกรมแบบหนึ่งที่เรียกว่า HTML (HyperText Markup Language) หรือไม่ก็อาศัยเครื่องมือช่วยสร้างโปรแกรม HTML ขึ้นจาก content ที่มีอยู่แล้ว