rungraveewan


ตอบ Batch Processing หมายถึงการดำเนินกรรมวิธีแบบเป็นกลุ่ม เป็นชุด บางคนเรียกว่า Serial หรือ Sequential Processing การดำเนินกรรมวิธีแบบ Batch มีลักษณะสำคัญดังนี้

ต้องนำข้อมูลมาจัดเป็นกลุ่มให้เรียบร้อยเสียก่อนที่จะนำมาประมวลผล

ข้อมูลเหล่านี้ต้องนำมาจัดเรียงลำดับเสียก่อนแล้วจึงจะนำมาประมวลผล การเรียงลำดับนี้มักเป็นการเรียงจากจำนวนน้อยไปหาจำนวนมาก และถือตามลักษณะการเรียงลำดับที่มีอยู่เดิมในแฟ้มข้อมูล เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับบุคลากรในหน่วยงานนั้นให้เก็บลงแฟ้มข้อมูลในลักษณะเรียงลำดับตามเลขประจำตัวของแต่ละคน จากน้อยไปหามากการเตรียมเลขประจำตัวน้อยไปหาเลขประจำตัวมากเช่นกัน

การรวบรวมข้อมูลจำนวนมาก ๆ แล้วนำมาดำเนินกรรมวิธีเดียวมักมาทำกันที่ศูนย์ คอมพิวเตอร์ โดยทำเป็นระยะ ๆ จะถี่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูล ข้อมูลบางอย่างมีปริมาณมาก ในแต่ละวันเราก็ต้องนำเข้าทุกวัน เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือร้านขายส่งมีการขายของครั้งละมาก ๆ ตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะตามห้างสรรพสินค้าแบ่งเป็นแผนกต่าง ๆ เช่น แผนกเสื้อผ้า แผนกเครื่องแก้ว แผนกกีฬา ฯลฯ แต่ละแผนกจะขายสินค้าหลายประเภท และขายได้จำนวนมาก ยิ่งแผนกซุปเปอร์มาเก็ตยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดังนั้น ทุกเย็นจึงต้องนำรายการสินค้าที่ขายได้แต่ละวันเก็บเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อการตรวจสอบต่าง ๆ เช่น พิมพ์รายการสินค้าที่ขายได้ในแต่ละวันเพื่อตรวจสอบรายรับรายจ่ายของห้าง หรืออาจแก้ไขยอดสินค้าทำให้สามารถทราบว่ามีสินค้าเหลืออยู่ในคลังเก็บสินค้าเท่าใดเหลืออยู่น้อยก็ต้องสั่งเข้ามาเพิ่มให้เพียงพอในการขาย ถ้าข้อมูลไม่มากนักสามารถรวบรวมแล้วนำเก็บเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์อาทิตย์ละครั้ง เช่น การเบิกจ่ายพัสดุในบริษัทหนึ่ง

ระบบ Online processing

ระบบ Online มีความหมายคือ เป็นเรื่องของอุปกรณ์ภายในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Online อยู่ภายใต้การควบคุมของคอมพิวเตอร์เช่น Disk, Tape หรือแม้แต่ Printer จะอยู่ภายใต้การควบคุมของซีพียู (หน่วยประมวลผลกลาง) โดยตรง อุปกรณ์รับและส่งข้อมูลทั้งหมดก็สามารถติดต่อกับซีพียูได้โดยตรงเช่นกัน โดยไม่ต้องมีใครช่วย นัยที่ 2 คือ คน ได้แก่ คนที่อยู่ในระบบ Online เช่นเดียวกับอุปกรณ์ในนัยแรก คนเหล่านี้สามารถติดต่อกับซีพียูได้โดยตรงโดยไม่ต้องใช้สื่อใด ๆ ช่วย

ตัวอย่างที่พอจะช่วยให้ท่านผู้อ่านนึกภาพได้ง่าย ๆ ก็คือการใช้ Online ในงานของธนาคาร เนื่องจากธนาคารต่าง ๆ มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ แค่ในกรุงเทพเพียงแห่งเดียวก็มีสาขาของธนาคารจนนับไม่ถ้วนแล้วศูนย์คอมพิวเตอร์ใหญ่จะต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งและมีแห่งเดียวก็มักเป็นสำนักงานใหญ่ของธนาคาร แฟ้มข้อมูลต่าง ๆ จะอยู่ที่ศูนย์นี้ทั้งหมด ในขณะที่สาขาต่าง ๆ มีการเบิกจ่ายเงินในบัญชีของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา ถ้าสาขาเหล่านี้ต้องราบรวมรายการเบิกจ่ายเงินแต่ละวัน และต้องส่งเจ้าหน้าที่นำข้อมูลมาดำเนินการที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ใหญ่ทุก ๆ วัน วันละครั้งก็คงแย่เพราะข้อมูลที่จะต้องนำมามีจำนวนมากจากหลายสาขาจะต้องมาตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดก่อนว่าถูกต้องไหม ถ้าตรงไหนไม่ถูกต้องก็ต้องส่งกลับไปแก้ที่สาขา แล้วยังเป็นการสูญเสียค่าใช้จ่ายในการส่งข้อมูลและค่าตรวจสอบข้อมูลอีกด้วย ทั้งข้อมูลก็ไม่ทันสมัยพอ กิจการธนาคารจึงหันมาใช้ระบบ Online ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การทำงานในระบบ Online นั้นเริ่มกันตั้งแต่การติดตั้งจอภาพตามสาขาต่าง ๆ จอภาพเหล่านี้จะเชื่อมต่อกับศูนย์คอมพิวเตอร์ด้วยข่ายสื่อสารซึ่งอาจเป็นสายโทรศัพท์หรือสายเคเบิลชนิดใดก็ได้ (ตามข้อกำหนดที่ให้เลือกหลายแบบ)

สมมติว่ามีการฝากเงินในบัญชีของนาย ก เจ้าหน้าที่จะใส่จำนวนเงินที่ฝากเพิ่มโดยการคีย์ข้อมูลเข้า เพื่อไปอัปเดต (หรือแก้ไข) จำนวนยอดเงินในบัญชีของนาย ก ซึ่งเก็บไว้ในแฟ้มข้อมูล ณ ศูนย์คอมพิวเตอร์ การติดต่อนั้นเป็นการติดต่อโดยตรงไปที่แฟ้มข้อมูลที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ และอาศัยโปรแกรมปฏิบัติการหรือ Operating System เป็นผู้ช่วยในการติดต่อเมื่อเราต้องการเพิ่มเติมยอดเงินในบัญชีนาย ก เราตรงไปอ่านบัญชีนาย ก ได้เลยทันที ถ้ามีส่วนใดส่วนหนึ่งของข้อมูลที่จะนำไปแก้ไขนั้นเกิดผิดพลาดเราก็สามารถทำโปรแกรมตรวจสอบข้อมูลก่อนที่จะเข้าไปค้นหาในแฟ้มข้อมูล เช่น ยอดเงินที่จะฝากเพิ่มในบัญชีต้องเป็นตัวเลขเท่านั้น และมีเลขหลังจุดทศนิยม 2 ตัว ถ้าเจ้าหน้าที่คีย์ผิดพลาด เช่นใส่ว่าต้องการฝากเงินเป็นจำนวน "16724" (ไม่มีจุดทศนิยม) หรือ "16C24" (มีตัวอักษรถือว่าผิด) ก็จะปรากฏข้อความว่า "จำนวนเงินไม่ถูกต้อง กรุณาใส่จำนวนเงินใหม่ ดังนี้ เป็นต้น

การทำงานในกรณีที่เป็นการถอนหรือโอนนั้น ๆ มีลักษณะใกล้เคียงกับการทำงานในกรณีที่เป็นการฝากดังกล่าวข้างต้นซึ่งใช้เวลาในการเรียกข้อมูลมาดูหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วแม้ในเสี้ยววินาที อย่างไรก็ตามหน่วยงานที่ต้องการใช้ระบบ Online ควรคำนึงถึงองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างที่ระบบ Online พึงต้องมี ซึ่งมีลักษณะพิเศษกว่าระบบอื่น ๆ (โดยเฉพาะ Batch) เช่น ต้องใช้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่มีลักษณะเฉพาะต้องมีซีพียูขนาดใหญ่พอที่จะจัดการกับโปรแกรมควบคุมการปฏิบัติการและพอที่จะให้บริการแก่ผู้ใช้ ณ สถานีปลายทางต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประการสุดท้ายต้องมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมเพราะใคร ๆ สามารถล้างข้อมูลได้นัยที่ 3 คือ การดำเนินกรรมวิธีหมายความได้หลายอย่าง เช่น การรับส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับผู้ใช้ หรือการที่โปรแกรมเรียกใช้ข้อมูลนั้นโดยตรงไม่ต้องใช้สื่อใด ๆ ช่วย