ตอบ สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) หรือสายที่แถบภายในทำด้วยทองแดง
สายโคแอกเชียลมักจะอ้างถึงสาย BNC (ตอนแรกอ้างถึง Bayonet-Naur Connector - ตัวต่อที่มีรูปร่างเหมือนดาบปลายปืนของสายโคแอกเชียลขนาดเล็ก) ที่ทำด้วยสายทองแดงเส้นเดียว มีฉนวนหุ้ม และจากนั้นก็คลุมด้วยชั้นของสายเกลียวอลูมิเนียมหรือทองแดงที่ป้องกันการรบกวนจากภายนอก ถ้าคุณต้องการย่านความถี่ (bandwidth) ที่กว้างขึ้นและมีการป้องกันสัญญาณรบกวนที่มากกว่าที่สายคู่ตีเกลียงจะให้ได้ แต่ไม่มีเงินพอที่จะใช้เส้นใยนำแสงได้สายโคแอกเชียลเป็นหนทางเลือกที่เหมาะสมแล้ว สายโคแอกเชียล มี 4 ส่วนคือ
สายกลาง เรียกว่า ตัวนำภายใน (inner conductor)
ชั้นกันฉนวน เรียกว่า dielectric ที่อยู่ล้อมรอบตัวนำภายใน
ชั้นของสายเกลียวตะกั่วหรือโลหะที่เรียกว่า ฉนวน (shield) หุ้มอยู่รอบ ๆ ชั้นกันฉนวน
ฉนวนชั้นสุดท้ายเรียกว่า แจ๊กเกต (jacket)
วิธีทำงานของสายโคแอกเชียล
สายโคแอกเชียลมีวิธีทำงานเหมือนกับสายคู่ตีเกลียว ถ้าคุณใช้สายตัวนำล้อมรอบสายตัวนำอีกเส้น สายตัวนำที่สองจะป้องกันสายตัวนำแรกจากสัญญาณรบกวน ในขณะที่สายคู่ตีเกลียวคาดหวังว่าสายจะป้องกันซึ่งกันและกัน แต่ว่าสายโคแอกเชียลจะอุทิศสายบางสายให้เป็นฉนวนป้องกันสายตัวนำภายใน ดังนั้น ตัวสายเองจะไม่เก็บสัญญาณภายนอกหรือส่งสัญญาณเสียเอง เพราะว่าตัวนำภายในที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณตัวจริงนั้นมีฉนวนกั้นแล้ว ก็จะไม่สามารถรับหรือส่งสัญญาณ RF ได้ ดังนั้นจะเป็นการป้องกันการรบกวนจากสายส่งสัญญาณเส้นอื่นหรือถ่วงโดยสัญญาณ RF การป้องกันที่ดีกว่าทำให้การวางสายไปได้ไกลกว่าสายคู่ตีเกลียว การทำให้สัญญาณเลวลงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะพิจารณาว่าสายส่งสัญญาณจะไปได้ไกลเพียงใด มีสายโคแอกเชียลอยู่ 4 ชนิด และแต่ละชนิดใช้ในแลนที่ต่างชนิดกัน
สายอีเทอร์เน็ตเป็นสายที่หนาที่สุด มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.4 นิ้ว ในขณะที่สายอีก 3 ประเภท (RG-58A/U, RG-59/U และ RG-62/4) มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.l8 นิ้ว, 0.25 นิ้ว และ 0.25 นิ้ว ตามลำดับ แม้ว่าสาย 3 ชนิดหลังนี้จะมีขนาดใกล้เคียงกัน แต่ก็ใช้ด้วยกันไม่ได้ สาย Fiber Optic
องค์ประกอบของสาย Fiber Optic นั้นจะประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนที่เป็นแกนหรือ Core ซึ่งทำมาจากแก้วชนิดพิเศษ แกนนี้ถูกหุ้มโดยฉนวนที่เป็นแก้วอีกหนึ่งชั้นก่อนที่จะถูกห่อหุ้มด้วยฉนวนที่เป็นพลาสติกอีกหนึ่งชั้นเพื่อป้องกันการถูกทำลายจากการวางสาย หรือว่าสภาพแวดล้อม โดยปกติแล้วสาย Fiber Optic นั้นจะมีอยู่ 2 ชนิดคือชนิดที่ใช้สำหรับเดินภายในตัวอาคารซึ่งเรา เรียกสายชนิดนี้ว่า Indoor และสายอีกชนิดหนึ่งคือสายที่ใช้เดินภายนอกตัวอาคาร หรือที่เราเรียกว่าสาย Outdoor โดยความ แตกต่างของสายทั้ง 2 ชนิดนี้นั้นอยู่ที่ฉนวนที่ใช้ในการห่อหุ้มตัวสายนั่นเอง โดยสายที่เป็นสายประเภท Outdoor จะมีฉนวนที่ทนทานต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าสายที่เป็นสาย Indoor สาย Fiber Optic หรือใยแก้วนำแสงนั้น เป็นสื่อสำหรับการส่งผ่านข้อมูลที่มีความเร็วสูงและยังมีความกว้างของช่องข้อมูล (Band Width) ที่ใหญ่มากทำให้สามารถส่งข้อมูลได้ครั้งละมาก ๆ และด้วยเหตุนี้ทำให้เรานิยมนำสาย Fiber มาทำเป็น Backbone ในการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายเข้าด้วยกัน ทำให้ข้อมูลสามารถที่จะทำการส่งผ่านระหว่างเครือข่ายต่าง ๆ ได้ด้วยความเร็วสูง ลักษณะของสัญญาณที่ส่งผ่านทางสาย Fiber นั้นจะอยู่ในลักษณะของสัญญาณแสง ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าแสงสามารถเดินทางได้เร็วมาก และยังไม่ถูกรบกวนโดยสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะคลื่นแม่เหล็กด้วย ทำให้ข้อมูลที่ถูกส่งผ่านมาทางสาย Fiber นั้นเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพดี ในการใช้สาย Fiber นั้นมีข้อจำกัดอยู่หลายประการ แต่ประการที่สำคัญที่สุดคือการโค้งงอของสาย เนื่องจากเป็นสายที่มีแกนเป็นใยแก้วทำให้การโค้งงอนั้นอยู่ในลักษณะที่จำกัด ดังนั้นการเดินสายสัญญาณจะต้องทำโดยช่างผู้ชำนาญเท่านั้น และนอกจากนั้น การเชื่อมต่อสายไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อเพื่อเพิ่มความยาว หรือการเชื่อมต่อเข้ากับหัวที่ใช้สำหรับการต่อเข้ากับอุปกรณ์นั้น ทำได้ยากมากและต้องอาศัยเครื่องมือชนิดพิเศษมาช่วยในการเชื่อมต่อ ซึ่งมีราคาแพง โดยปกติของการใช้สาย Fiber ในการติดต่อระหว่างเครือข่ายนั้น จะไม่นิยมทำการต่อสาย เนื่องจากว่าสาย Fiber นั้นมีแกนเป็นแก้ว และการส่งผ่านข้อมูลนั้นอยู่ในรูปแบบของแสง ฉะนั้นการต่อสายอาจทำให้เกิดการเบี่ยงเบนของแสงซึ่งมีผลทำให้การส่งข้อมูลเกิดการผิดพลาดได้ ในการเลือกใช้สายแบบต่าง ๆ นั้น มีการเรียกชื่อที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน เช่น Thick Net (10 Base 5, Thin Net (l0 Base 2X, Twisted Pair (l0 Base T) และ Fiber Optic ซึ่งในแต่ละแบบจะมีความสามารถแตกต่างกัน
ข้อดีข้อด้อยของสายเส้นสัญญาณที่ทำด้วยทองแดงและไฟเบอร์ออพติก
ชื่อ | Thinnet Coaxial | (l0Base2) Thicknet Coaxial | (l0Base5) Fiber-optic |
ราคาสาย | แพง | แพงกว่าthinnet | ราคาแพงที่สุด |
ความยาวของสาย 2 | 185 เมตร (600 ฟุต) | 500 เมตร (1640 ฟุต) | กม.(6500 ฟุต) |
ความเร็ว | 10 Mbps | 10 Mbps | 100 Mbpsหรือ มากกว่า |
ความง่ายในการ ติดตั้ง | ง่าย | ง่าย | ยาก |
การป้องกันการรบ กวน | ดี | ดี | ดีมาก |
คุณลักษณะพิเศษ | อุปกรณ์เชื่อมต่อมี ราคาถูก | อุปกรณ์เชื่อมต่อมี ราคาถูก | สามารถส่งข้อมูล เสียงและภาพ |
ความอ่อนตัว | พอใช้ | น้อย | ไม่มีความอ่อนตัว |
องค์กรที่ใช้ | ขนาดกลางไปจน ถึงขนาดใหญ่ | เป็นBackbone ของระบบ | ได้ทุกขนาด ที่มี ความต้องการ ความเร็ว และ ความปลอดภัย |
(ข) การสื่อสารแบบมัลติมีเดีย (Multimedia) ควรจะใช้สายนำสัญญาณแบบใด (ระหว่างสายทองแดงและสายไฟเบอร์ออฟติก) จงให้เหตุผลประกอบ
ตอบ. ใช้สายนำสัญญาณไฟเบอร์ออฟติก เพราะการสื่อสารแบบมัลติมีเดียเป็นการสื่อสารต้องใช้ความเร็วสูง ฉะนั้นสายไฟเบอร์ออฟติกเป็นสื่อ สำหรับส่งข้อมูลที่มีความเร็วสูง
คุณสมบัติพิเศษของ สายไฟเบอร์ออฟติก (เส้นใยแก้วนำแสง)
1. สัญญาณที่ส่งผ่านเส้นใยแก้วนำเสงมีอัตราการบั่นทอนสัญญาณต่ำ ทำให้ส่งสัญญาณไปในระยะทางไกล ๆ ได้
2. เป็นตัวกลางประเภทเดียวที่ไม่มีการเหนี่ยวนำของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Noninduction) เพราะเส้นใยแก้วนำแสงทำด้วยแก้ว ซึ่งเป็นสารที่ไม่ยอมให้ไฟฟ้าจากภายนอก (คลื่นของโทรทัศน์, คลื่นของวิทยุ, สายไฟแรงสูง ๆ เป็นต้น) จะไม่มีการรวบกวนสัญญาณที่ส่งผ่านเส้นใยแสง ทำให้ไม่ต้องแยกเส้นใยแสงออกห่างจากอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดการเหนี่ยวนำทางแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก ๆ
3. มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาเบากว่าสายทองแดงประมาณ 10 เท่า
4. ส่วนประกอบที่สำคัญของเส้นใยแก้ว คือแก้วจำพวกซิลิก้า ซึ่งเป็นวัตถุที่หาง่ายและราคาถูกมาก ๆ (ทองแดงเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่หายากและราคาแพงกว่า)
สิ่งที่ทำให้การสื่อสารด้วยเส้นใยแก้วมีราคาแพงคือตัวเทอร์มินัลถ้าหากเป็นการส่งสัญญาณ ผ่านเส้นใยแก้วที่เป็นแบบ Single-mode ตัวเทอร์มินัลที่เป็นแหล่งกำเนิดแสงต้องทำด้วยเลเซอร์ Diode และตัวรับแสงซึ่งเป็น Photo Detector ต้องทำด้วย Diode ที่มีคุณภาพดี ตัวเส้นใยแก้วราคาไม่แพง แต่อุปกรณ์ที่มาเชื่อมต่อจะมีราคาแพง นี่เป็นสิ่งที่แตกต่างกันระหว่างราคาของการเชื่อมต่อด้วยสายทองแดง และการเชื่อมต่อด้วยเส้นใยแก้ว ส่วนตัวเคเบิ้ลของเส้น ใยแก้วขึ้นกับโครงสร้างถ้าเป็นเส้นใยแก้วประเภที่ทใช้งานทั่วไปราคาไม่แพง แต่ถ้าเป็นโครงสร้างของเส้นใยแก้วที่เป็นเคเบิ้ลที่วางใต้ทะเลจะต้องมีโครงสร้างป้องกันที่เป็นลวดเหล็ก มีท่อทองแดงกันการกัดกร่อนของน้ำทะเล ก็จะมีราคาแพงมาก